body Ab.anc
วันอาทิตย์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
วันพฤหัสบดีที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
วันอังคารที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
วันจันทร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
วิทยาศาสตร์น่ารู้
วิทยาศาสตร์น่ารู้
ทำไมพริกจึงเผ็ด ?
ความเผ็ดร้อนเกิดจากกรดชนิดหนึ่งเรียกว่าแคปไซซิน ซึ่งอยู่ที่ผิวด้านในของ ฝักพริก หลายคนเข้าใจผิดว่าเม็ดพริกก็เผ็ดเหมือนกัน ทั้งที่ตามจริงไม่มีแคปไซซินเลย อย่างไรก็ตาม กรดชนิดนี้กระจายอยู่ในยวงที่มีเม็ดพริกติดอยู่ เมื่อแกะเม็ดพริกออก เนื้อพริกในส่วนนี้ก็จะติดมาด้วย และทำให้เผ็ดน้อยลง แม้แคปไซซินจะให้รสเผ็ดถึงใจก็ตาม พริกแต่ละเม็ดมีกรดชนิดนี้อยู่เพียงร้อยละ 0.1 เท่านั้น
ทำไมรอยฟกช้ำจึงมีสีคล้ำดำเขียว ?
เมื่อร่างกายเราถูกกระแทกหรือถูกตีอย่างแรงที่ส่วนใดส่วนหนึ่ง จะทำให้เส้นเลือดฝอยบริเวณ นั้นแตก เลือดจะไหลซึมออกมานองอยู่ใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวหนังปูดออก บริเวณที่เลือดไหลนองนี้อยู่ลึก ถัดไปจากหนังกำพร้าชั้นใน ถ้าถูกกระแทกใหม่ ๆ จะเป็นรอยแดงจาง ๆ เมื่อผ่านวันไปจะมีสีคล้ำขึ้น การที่เราเห็นเป็นสีคล้ำเขียวก็เพราะแสงที่ส่องกระทบรอยฟกช้ำนั้นสะท้อนมาเข้าตาเรา ก่อนที่ แสงจะมาเข้าตาเรา แสงจะต้องผ่านชั้นต่าง ๆ ของผิวหนัง กล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อบริเวณนั้นจะดูดซับแสง สีแดงไว้ ส่วนแสงสีน้ำเงินถึงแสงสีม่วงจะไม่ถูกดูดซับ เราจึงเห็นเป็นสีม่วงคล้ำบริเวณนั้น ยิ่งรอยฟกช้ำ ขยายตัวลึกเข้าไปมากเพียงใด แสงก็จะถูกดูดซับมากขึ้น เราก็จะยิ่งเห็นรอยฟกช้ำคล้ำมากขึ้น ร่างกายจะพยายามกำจัดเม็ดเลือดแดงหรือเม็ดเลือดขาวที่ถูกทำลายแล้ว รวมทั้งชิ้นส่วนเซลล์ ที่แตกหลุดออกมา เม็ดเลือดแดงจะสลายตัวมีสีซีดลงจนเหลือง และสุดท้ายเม็ดเลือดขาวจะมากลืนกินสิ่ง เหล่านี้ เพื่อทำความสะอาด ในที่สุดเนื้อเยื่อบริเวณนั้นก็จะเข้าสู่สภาพเดิม
บาดแผลหายได้อย่างไร ?
ขณะที่เรากำลังใช้มีด บางครั้งอาจจะเผลอทำมีดบาดตัวเอง แต่ทันทีทันใดนั้น ร่างกายของ
เราก็จะเริ่มซ่อมแซมบาดแผลที่เกิดขึ้นทันที สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ?
ภายในเวลาไม่กี่นาที ปลายเส้นเลือดที่ขาดก็ถูกหยุดด้วย เกล็ดเลือด ( platelets ) และเส้นใย
โปรตีนที่เรียกว่า ไฟบริน ( fibrin ) เลือดที่ออกมาอยู่ในแผลก็จะแข็งตัวกลายเป็นสะเก็ดคลุมแผลอยู่
ร่างกายเริ่มส่งเลือดมายังบริเวณบาดแผลเพิ่มขึ้น เม็ดเลือดขาวที่มากับกระแสเลือดก็จะคอยฆ่าพวกเชื้อโรค
ที่บุกรุกเข้ามา คอยจับทำลายพวกเซลล์ที่ตายแล้วและสิ่งแปลกปลอมต่างๆ ขณะเดียวกัน เซลล์ชั้นนอกสุด
ของผิวหนัง ( epidermal cell ) ก็จะแบ่งตัว และเคลื่อนที่จากขอบแผลทั้งสองข้างเข้ามาบรรจบกันใหม่
ตรงกลายภายใต้สะเก็ดเลือด บาดแผลก็จะถูกคลุมด้วยชั้นเซลล์เหมือนเดิม เส้นเลือดในบริเวณนั้นจะเจริญ
แทงเข้ามายังบาดแผลเพื่อนำออกซิเจนและอาหารมาเลี้ยง
เซลล์ที่เรียกว่า ไฟโบรบลาสต์ ( fibroblast ) จะแบ่งตัวอย่างรวดเร็ว เพื่อสร้างเนื้อเยื่อมาเสริม
บริเวณบาดแผลให้เต็มโดยการผลิต คอลลาเจน ( collagen ) ซึ่งเป็นเส้นใยที่มีความเหนียว ทำให้บาดแผล
มีความแข็งแรง ขณะเดียวกันไฟโบรบลาสต์จะหดตัว ทำให้บาดแผลสองข้างชิดกันเข้ามามากขึ้น ปลาย
เส้นประสาทที่ขาดก็จะค่อย ๆ สอดเข้าไปในแผลเพื่อให้ความรู้สึกบางส่วนของบริเวณนั้นกลับคืนมา เส้นเลือด
ต่าง ๆ ก็จะงอกเข้าหากันจนประสานกันเป็นร่างแหอยู่ภายในบาดแผล
ในที่สุด สะเก็ดเลือดบนแผลก็หลุดออกไป ผิวหนังก็กลับมาประสานกันเหมือนเดิม เนื้อเยื่อ
ภายใต้นั้นก็จะหนาแน่นไปด้วยไฟโบรบลาสต์และเส้นใยคอลลาเจน ซึ่งจะค่อย ๆ เรียงตัวให้อยู่ในแนวที่รับ
ความตึงเครียดได้ดีที่สุด เพื่อให้บาดแผลที่หายแล้ว มีความแข็งแรงเหมือนเดิม
กำหนดเพศได้ด้วยอุณหภูมิ
นักชีววิทยาชาวอเมริกันได้ค้นพบความลับของวงจรชีวิตของจระเข้แอลลิเกเตอร์ คือแอลลิเกเตอร์
สามารถกำหนดเพศของลูกน้อยได้ด้วยอุณหภูมิเพียงอย่างเดียว หากไข่ของมันถูกเก็บไว้ในที่ที่มีอุณหภูมิต่ำ
กว่า 86 องศาฟาเรนไฮต์ ในระหว่างสัปดาห์ที่ 2 และ 3 ของการฟักไข่ ไข่เหล่านี้จะฟักออกเป็นตัวเมียทั้งหมด
และไข่ที่ถูกเก็บไว้ที่อุณหภูมิสูงกว่า 94 องศาฟาเรนไฮต์ จะฟักออกมาเป็นตัวผู้ทั้งหมด ส่วนไข่ที่เก็บไว้ที่
อุณหภูมิระหว่าง 86-94 องศาฟาเรนไฮต์ จะฟักเป็นทั้งตัวผู้และตัวเมีย
นักวิจัยได้เริ่มสังเกตเห็นความลับนี้จากการเฝ้าดู เขาพบว่าจระเข้ที่วางไข่ในหนองบึงเฉอะแฉะเย็น
ชื้น ไข่จะฟักเป็นตัวเมีย ส่วนไข่ที่วางบนฝั่งที่มีแสงอาทิตย์ส่องถึงจะออกมาเป็นตัวผู้ ปริศนาที่ว่าทำไมอุณหภูมิ
จึงกำหนดเพศได้ นักวิทยาศาสตร์อธิบายว่าขณะที่อุณหภูมิสูนั้นตัวอ่อนจะใช้ไข่แดงหมดไปอย่างรวดเร็วจน
เหลืออาหารน้อยไม่เพียงพอแก่การพัฒนาไข่เป็นเพศเมีย
ประโยชน์ของฟ้าแลบ
สถานีกรมอุตุนิยมวิทยาแห่งสหรัฐอเมริกาประมาณไว้ว่า ในระยะเวลา 1 ปี ฟ้าแลบทำให้ไนโตรเจน
ตกลงมายังพื้นดิน 2 กิโลกรัมต่อพื้นที่ 1 ไร่ เมื่อคิดทั้งโลกจะมีไนโตรเจนตกลงมายังโลกถึง 770 ล้านตันต่อปี
ในระหว่างที่เกิดฟ้าแลบ พลังงานบางส่วนจากฟ้าแลบจะทำให้ไนโตรเจนทำปฏิกิริยาเคมีกับ
ออกซิเจนเกิดเป็นสารประกอบไนโตรเจนมอนอกไซด์ (NO) สารประกอบนี้มีไนโตรเจน 1 อะตอม และออกซิเจน
1 อะตอม มันจะดูดออกซิเจนอีก 1 อะตอมเพิ่มเข้าไป และกลายเป็นไนโตรเจนไดออกไซด์ (NO2)
ซึ่งละลายได้ในน้ำฝนกลายเป็นกรดดินประสิว (HNO3) ตกลงมายังพื้นโลก เมื่อกรดดินประสิวรวมตัวกับสาร
เมื่อกรดดินประสิวรวมตัวกับสารเคมีอื่น ๆ จะได้เป็นเกลือไนเตรตซึ่งเป็นอาหารที่ดีของพืช
ดังนั้น ถึงคนขวัญอ่อนจะไม่ค่อยชอบฟ้าแลบนัก แต่ก็ควรทำใจสักนิดให้ชอบสักหน่อยเพราะมีผล
ดีต่อชาวนาที่ผลิตพืชผักผลไม้มาให้เรากินอยู่ทุก ๆ วัน
เสียงเพลงทำให้แก้วแตกได้จริงหรือ ?
การร้องเพลงด้วยเสียงสูง ๆ เป็นเวลานานสามารถทำให้แก้วแตกได้ไม่ใช่เรื่องพูดเล่น แท้จริงแล้ว
เป็นปรากฎการณ์ธรรมชาติซึ่งเรียกว่าเกิด "กำทอน (resonance) " ของเสียง คือ เกิดการแทรกสอดของ
คลื่นเสียงแบบเสริมกัน
เพื่อให้เข้าใจในเรื่องนี้ง่ายขึ้น ลองนึกถึงเวลาเราไกวชิงช้าได้จังหวะเหมาะ ๆ พอดี ชิงช้าจะยิ่ง
ไกวสูงขึ้น แต่ถ้าไกวชิงช้าผิดจังหวะจะทำให้ชิงช้าไกวเบาลง เนื่องจากแรงที่ผิดจังหวะไปหักล้างกับการ
เคลื่อนไหวของชิงช้าเสียหมด
แก้วก็เช่นเดียวกัน แก้วแต่ละใบจะมีการสั่นสะเทือนด้วยความถี่เฉพาะตัว ถ้าลองใช้ดินสอเคาะแก้ว
ใบใดจะได้ยินเสียงเหมือนเดิมทุกครั้ง คลื่นเสียงจากนักร้องทำให้แก้วสั่นสะเทือนได้เช่นกัน ถ้าความถี่ของ
เสียงไม่พอดีก็จะหักล้างกับการสั่นสะเทือนของแก้ว แต่ถ้านักร้องสามารถปรับความถี่ของเสียงได้พอเหมาะ
กับการสั่นสะเทือนของแก้วจะทำให้แก้วสั่นแรงขึ้นจนแตกได้
ทำไมคนเราจึงดื่มน้ำทะเลไม่ได้ ?
นกทะเลและสัตว์เลื้อยคลานหลายชนิดจะมีต่อมพิเศษสำหรับถ่ายเกลือออกจากร่างกายโดยเฉพาะ
นกนางนวลสามารถดื่มน้ำทะเลได้ถึง 10% ของน้ำหนักตัว และสามารถกำจัดเกลือที่มีมากเกินไปได้ภายใน
เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงเท่านั้น ถ้ามนุษย์จำเป็นต้องดื่มน้ำทะเลในสัดส่วนเท่านกคือ 2 แกลลอน ( 7.56 ลิตร )
น้ำจะถูกดูดออกจากร่างกายเนื่องจากความพยายามที่จะกำจัดเกลือที่มีมากเกินไปออกจากร่างกาย
ไม่มีสัตว์ชนิดใดมีเกลือสะสมอยู่ในร่างกายได้เกินร้อยละ 0.9 เกลือที่มีมากเกินกว่าปริมาณนี้ จะถูก
ขับออกมากับปัสสาวะ ไตของมนุษย์ไม่สามารถกำจัดเกลือที่มีอยู่ในปัสสาวะได้เกินกว่าร้อยละ 2.2 ดังนั้น
มนุษย์จึงไม่สามารถดื่มน้ำทะเลซึ่งมีเกลือผสมอยู่ถึงร้อยละ 3.5 ได้ ม้าสามารถกำจัดเกลือที่มีอยู่ในปัสสาวะได้
เพียงร้อยละ 1.5 เนื่องจากไตไม่มีประสิทธิภาพ ดังนั้น ม้าจึงไม่สามารถดื่มน้ำกร่อยซึ่งมนุษย์สามารถ
บริโภคได้
ทำไมท้องฟ้าเป็นสีฟ้า ?
แท้จริงแล้วท้องฟ้าเองไม่มีสี แสงสีฟ้าที่เห็นเกิดจากสีฟ้าที่มีอยู่ในแสงอาทิตย์ โฟตอนของแสง
สีฟ้ามีพลังงานมากกว่าโฟตอนของแสงสีอื่น จึงทำให้มันชนอะตอมอื่นออกไปได้มากกว่าและเคลื่อนลงต่ำมา
เข้าตาเรา ดังนั้นเมื่อเรามองขึ้นไปบนท้องฟ้า เราเลยเห็นโฟตอนแสงสีฟ้ามาก ทำให้เห็นท้องฟ้าเป็นสีฟ้า
แต่สีของดวงอาทิตย์ขณะลับขอบฟ้าไม่ได้เป็นสีฟ้า เพราะเมื่อดวงอาทิตย์ลดต่ำลง เราจะเห็น
แสงอาทิตย์ส่องเป็นมุมผ่านฝุ่นสกปรกในอากาศ ฝุ่นละอองเหล่านี้จะสะท้อนโฟตอนสีฟ้าส่วนใหญ่ออกไปก่อน
ที่แสงจะมาเข้าตาเรา จึงทำให้เราเห็นท้องฟ้าเป็นสีส้ม ๆ แดง ๆ
รูปทรงที่แท้จริงของรุ้งกินน้ำ
เวลามองดูรุ้งกินน้ำ เคยคิดไหมว่ารุ้งกินน้ำมีรูปร่างที่แท้จริงเป็นอย่างไร ? เมื่อแสงแดดกระทบ
ละอองน้ำจะหักเหออกมาเป็นแสง 7 สี อย่างที่เรารู้กันอยู่นั้นรุ้งจะมีรูปร่างเป็นวงกลม ขณะที่เรายืนอยู่ที่พื้น
แสงที่หักเหเข้าสู่ตาเราจะมีลักษณะเป็นรูปกรวย โดยมีตาของเราเป็นจุดยอดของกรวยและมีตัวรุ้งกินน้ำเป็น
เส้นรอบวงของฐานกรวยคือสีแดง ทิศทางของแสงที่หักเหเข้าสู่ตาจะทำมุม 42 องศากับแสงอาทิตย์ที่ตกกระ
ทบละอองน้ำพอดิบพอดี ส่วนแสงอื่น ๆ จะอยู่ถัดจากสีแดงเข้าไป ภายในมุมก็จะน้อยลงไปตามลำดับ
ถ้าอย่างนั้น ทำไมเราไม่เห็นรุ้งเป็นวงกลมล่ะ ?
คำตอบก็คือ เห็นได้ ถ้าเราขึ้นไปดูรุ้งบนอากาศอย่างเช่นในเครื่องบิน การที่เราอยู่บนอากาศ
ละอองน้ำทั้งที่อยู่เหนือและใต้ตัวเราจะช่วยกันหักเหแสงให้เราเห็นรุ้งเป็นวงกลมได้ แต่ตอนที่เราอยู่บนพื้นดิน
มีแต่ละอองน้ำส่วนเหนือเราเท่านั้นที่หักเหแสงเราจึงเห็นรุ้งเป็นเส้นโค้งเท่านั้น
เคล็ดลับการเลี้ยวโค้ง
เวลาที่เซียน BMX หรือโมโตครอสจะทิ้งโค้ง คุณคงสังเกตเห็นว่าตอนแรกเขาจะหักออกในด้าน
ตรงข้ามกับโค้งนิดหน่อยแล้วจึงหักเข้าโค้ง และในขณะเลี้ยวโค้งรถจะเอียงไปในทิศทางที่ต้องการเลี้ยว ซึ่ง
พร้อม ๆ กันนั้นเองแรงเหวี่ยงจากการเลี้ยวก็จะเหวี่ยงคนขับให้ออกไปทางด้านตรงข้ามกับทิศที่ต้องการจะ
เลี้ยว
การเลี้ยวโดยหักหน้ารถออกทางด้านตรงข้ามก่อนนั้นมีโมเมนตัมผลักล้อหน้า ทำให้รถเอียงไปใน
ทางที่ต้องการเลี้ยวได้ง่ายขึ้น ตามกฎของโมเมนตัมเชิงมุมแสดงให้เห็นว่าล้อหน้าที่หมุนเร็วจี๋อยู่นั้นทำหน้าที่
เสมือนไจโจสโคป ซึ่งจะมีแรงต้านการบิดตั้งต้นเนื่องจากการหักเลี้ยวครั้งแรก เมื่อหักออกจากโค้งก่อนแรง
ต้านที่ว่านี้จะส่งไปในทิศทางที่เราจะเลี้ยวพอดีทำให้เราหักเลี้ยวกลับเข้าโค้งได้ดีขึ้น
ถ้าเราหักเข้าโค้งโดยไม่หักออกก่อนจะเป็นอย่างไร ? เราก็ต้องเอียงตัวแรงขึ้นเพื่อให้รถเอียงเข้า
โค้ง แรงไจโรสโคปิกก็จะต้านการเลี้ยวทำให้คนขับต้องหักรถกลับเร็วขึ้นเพื่อไม่ให้รถล้ม ยิ่งรถวิ่งเร็วเท่าใด
ปรากฏการณ์นี้จะชัดยิ่งขึ้น ในการเลี้ยวแนวล้อหน้าและหลังจะไปตามกันโดยล้อหน้าจะต้องกว้างกว่าล้อหลัง
เมื่อล้อหน้ากลับตั้งตรงการเลี้ยวก็จะสิ้นสุดลง ถ้าเอียงตัวมากไปรถจะล้มอย่างแน่นอน
ทำไมเราจึงปวดฟัน ?
ครั้งหนึ่งในชีวิตของเราคงต้องเคยปวดฟันบ้างเป็นแน่ โดยเฉพาะถ้ามีฟันผุอยู่เวลารับประทาน
ของหวานจะปวดฟันจนน้ำตาไหลทีเดียว รู้ไหมว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ?
ก่อนจะอธิบายสาเหตุของการปวดฟัน เราลองมาทำการทดลองนี้ก่อน นำหัวผักกาดมาหัวหนึ่ง
เจาะตรงกลางให้เป็นโพรง จากนั้นเทน้ำตาลข้น ๆ ลงไปในโพรงแล้วปิดด้วยจุกคอร์กที่มีหลอดแก้วกลวง
เสียบอยู่ นำหัวผักกาดนี้แช่ลงในอ่างน้ำ สักครู่หนึ่งจะเห็นน้ำในอ่างซึมผ่านเนื้อหัวผักกาดเข้าไปในโพรงที่มี
น้ำตาลอยู่ ปรากฏการณ์ที่น้ำซึมผ่านเนื้อเยื่อไปยังน้ำตาลซึ่งมีความเข้มข้นสูงกว่านี้เรียกว่า ออสโมซิส
(OSMOSIS) น้ำจะซึมไปเรื่อย ๆ จนระดับความกดดันที่ผิวทั้งสองข้างของเนื้อเยื่อเท่ากัน ระดับน้ำในหลอด
แก้วกลวงจะสูงขึ้นเรื่อย ๆ ตามแรงดันออสโมซิส
จากการทดลองนี้สามารถนำมาอธิบายเรื่องการปวดฟันได้เป็นอย่างดี สมมติว่าหัวผักกาดที่มี
โพรงนั้นเป็นฟันผุ เมื่อเรารับประทานของหวาน น้ำตาลจะไปขังอยู่ในรูของฟัน ทำให้เกิดการออสโมซิสของ
น้ำจากประสาทฟันเข้าสู่โพรงฟัน และทำให้เกิดแรงกดดันออสโมซิสขึ้นที่ฟันซี่นั้น ความกดดันนี้เองทำให้เรา
ปวดฟัน วิธีแก้ปวดก็คือไปอุดฟันหรือถอนฟันซี่นั้น
ของหวานทำให้ฟันผุได้อย่างไร ?
น้ำตาลทำให้เกิดโรคฟันผุและโรคเหงือก แต่ปริมาณยังสำคัญน้อยกว่าจำนวนครั้งที่รับประทานเข้า
ไป ฉะนั้นการประนีประนอมระหว่างการตามใจตัวเองกับการป้องกันฟันผุก็คือ พยายามลดการรับประทาน
ขนมหวานให้เหลือเพียงวันละครั้งเดียว
น้ำตาลธรรมดาหรือซูโครส (sucrose) เป็นอาหารโปรดของ "แบคทีเรียที่ทำให้ฟันผุ" ซึ่งเราได้ยิน
เสมอ ๆ ในโฆษณายาสีฟันยี่ห้อต่าง ๆ สิ่งที่เกิดขึ้นคือ เมื่อแบคทีเรียพบซูโครสในอาหารและเครื่องดื่มต่าง ๆ
จะสร้างสารเหนียวเรียกว่า เด็กซ์แทรน (dextrans) ซึ่งเกาะติดแน่นกับฟัน แบคทีเรียนี้จะเติบโตและเพิ่มจำนวน
อย่างรวดเร็วจนมีขนาดใหญ่กลายเป็นแผ่นคราบบนตัวฟันหรือพลัก (plague) แบคทีเรียชนิดอื่นจะเข้าไป
อาศัยอยู่ในพลัก และเปลี่ยนน้ำตาลให้กลายเป็นกรด กรดจะทำลายเคลือบฟันจนหมดสิ้น ต่อจากนั้นก็จะทำ
ลายแคลเซียมภายในฟันและทำให้ฟันโบ๋เป็นโพรง
แบคทีเรียที่ทำให้เกิดกรดนี้ จะเริ่มต้นทำงานเพียงไม่กี่วินาทีหลังจากการรับประทานน้ำตาลเข้าไป
และเมื่อเกิดขึ้นครั้งหนึ่งแล้วการสร้างกรดก็มักจะดำเนินต่อไปอีกนาน ดังนั้นฟันผุจึงมักเกิดขึ้นภายหลังจาก
รับประทานขนมหวานเข้าไปนานแล้ว นี่เป็นคำอธิบายว่า ทำไมการรับประทานขนมหวานบ่อย ๆ ถึงทำให้ฟันผุ
นอกจากพลักจะเป็นศัตรูสำคัญของฟันแล้ว ยังทำอันตรายต่อเหงือกและกระดูกที่ยึดฟัน เริ่ม
ด้วยการสะสมพลักบนตัวฟันและรอบ ๆ แนวเหงือก แบคทีเรียที่อยู่ในพลักจะทำให้เกิดสารเคมีที่ทำให้เกิดความ
ระคายเคืองแก่เหงือกและทำให้เลือดออก เมื่อเวลาผ่านไปแบคทีเรียที่อยู่ใกล้ส่วนนอกของฟันมากที่สุดจะตาย
กลายเป็นหินปูนที่เกาะรอบตัวฟัน ซึ่งจะถูกปกคลุมด้วยชั้นของพลัก ที่มีแบคทีเรียที่มีชีวิตอยู่อีกทีหนึ่ง ต่อมา
เส้นใยที่เชื่อมต่อเหงือกกับฟันจะมีแบคทีเรียอาศัยอยู่เต็มไปหมด ในที่สุดก็จะทำลายกระดูกฟันที่ยึดฟันทำให้
ฟันโยก ในภาวะนี้ฟันจะผุและติดเชื้อต่าง ๆ ได้ง่าย อาการที่เห็นบ่อยที่สุดก็คือ เหงือกบวมและเลือดออกง่าย
พลักเป็นโรคที่ซ่อนตัวอยู่ เนื่องจากโปร่งใสและไม่มีสี นอกจากกรณีที่เป็นชั้นหนามาก ๆ จึงมอง
เห็นเป็นแผ่นสีขาว ๆ เมื่อทันตแพทย์กำจัดพลักและหินปูนที่เกาะตามไรฟันออกหมดแล้ว เราอาจป้องกันไม่ให้
เกิดได้อีกโดยแปรงฟันเป็นประจำ กล่าวคือกำจัดแผ่นคราบที่เกาะอยู่รอบนอกฟันทุกซี่อย่างน้อยที่สุดวันละหนึ่ง
ครั้ง ถ้าจะให้ดีควรเป็นเวลาก่อนเข้านอน ทันตแพทย์แนะนำให้แปรงฟันให้ทั่วอย่างถูกวิธี และใช้เส้นใยไนล่อน
ที่เรียกว่า เดนทอลฟลอสส์ (dental floss) หรือไหมขัดซอกฟันทำความสะอาดตามซอกฟัน เท่านี้คุณก็จะยิ้ม
ได้อย่างสดใส
ทำไมคนกินหญ้าไม่ได้ ?
วัว ควาย และม้า ล้วนแต่กินหญ้ากินฟางกันได้ ปลวกก็กินไม้ได้ แต่คนเราเห็นจะอดตายแน่ถ้าถูก
บังคับให้กินแต่หญ้าแต่ฟาง แท้จริงแล้วอาหารประเภทแป้งที่เรากินกันอยู่ทุกวันนี้ ก็มีโครงสร้างทางเคมีย่อยๆ
เหมือนกับเซลลูโลสที่เป็นส่วนประกอบหลักของหญ้า ฟาง และไม้ คือทั้งแป้งและเซลลูโลสนั้นเป็นสายยาว ๆ
ของน้ำตาลกลูโคสเหมือนกันแต่วิธีการต่อและเรียกตัวของกลูโคสแต่ละโมเลกุลต่างกัน
การย่อยแป้งและเซลลูโลสต้องอาศัยน้ำย่อยหรือเอนไซม์ ซึ่งเป็นโปรตีนชนิดพิเศษ น้ำย่อยของ
คนเราย่อยได้เฉพาะแป้งเท่านั้น ทั้งนี้เป็นเพราะการทำงานของน้ำย่อยต้องอาศัยรูปร่างของโมเลกุลสารที่จะถูก
ย่อยด้วย ถ้าหากสารดังกล่าวมีโมเลกุลที่รูปร่างเหมาะสมกับน้ำย่อยจึงจะย่อยได้ ส่วนแป้งและเซลลูโลส
โมเลกุลต่างกัน น้ำย่อยสำหรับแป้งจึงไม่อาจย่อยเซลลูโลสได้
สัตว์ที่กินหญ้า ฟาง และพืชอื่น ๆ เป็นอาหารก็ย่อยเซลลูโลสไม่ได้เช่นกัน แต่ในทางเดินอาหารของ
สัตว์เหล่านี้มีจุลินทรีย์ที่สามารถสร้างน้ำย่อยออกมาย่อยเซลลูโลสให้แตกตัวเป็นกลูโคสได้ ดังนั้น สัตว์จึงได้
กลูโคสจากการย่อยของจุลินทรีย์เป็นอาหาร ในขณะที่จุลินทรีย์ก็ได้อาหารและที่อยู่อันสุขสบายในทางเดิน
อาหารของสัตว์ นับเป็นภาวะที่ต้องพึ่งพากันอย่างเหมาะสมทีเดียว
ทำไมกระเพาะอาหารจึงไม่ย่อยตัวเอง ?
กระเพาะอาหารเป็นอวัยวะมหัศจรรย์ที่ย่อยอาหารทุกชนิดที่เรารับประทาน แต่ทำไมกระเพาะถึงไม่
ย่อยตัวเอง น้ำย่อยเมื่อขับออกมาจะทำลายเซลล์บริเวณกระเพาะบ้าง แต่กระเพาะก็สามารถสร้างเซลล์ใหม่ขึ้น
มาทดแทนได้เรื่อย ๆ ในเวลาเพียง 3 วันสามารถสร้างเซลล์ได้ถึง 500,000 เซลล์ ถ้ามีน้ำย่อยในกระเพาะมาก
เกินไป ก็อาจจะเป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบได้
กระเพาะอาหารมีวิธีป้องกันตัวเอง โดยมีชั้นเนื้อเยื่อที่เรียกว่า ชั้นแกสตริกมิวโคซา มาคลุมอยู่
ส่วนประกอบในน้ำย่อย มี เปปซิน เป็นเอนไซม์ย่อยโปรตีนกับกรดเกลือ (HCI) เอนไซม์ทั้งสองชนิดนี้หลั่ง
ผ่านชั้นมิวโคซาออกมาสู่กระเพาะ เอนไซม์เปปซินไม่ค่อยมีอันตรายนัก แต่กรดเกลือมีพิษสงมาก ถ้าเราไม่มี
ชั้นมิวโคซากั้นไม่ให้กรดเกลือเข้าไปถึงเซลล์ชั้นในได้แล้วล่ะก็ กระเพาะเราคงจะพังแน่
นักวิทยาศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยแอละบามา สหรัฐฯ พบว่า บนชั้นมิวโคซานั้นยังมีชั้นของ
คาร์โบไฮเดรตมาคลุมอีกชั้นหนึ่ง แต่ยังไม่รู้ว่าชั้นนี้ป้องกันกระเพาะได้อย่างไร นอกจากนั้นยังมี พรอสตา-
แกลนดินส์ (prostaglandins) ซึ่งเป็นสารประกอบที่มีในเซลล์มนุษย์ทั่วไป เขาพบว่าระดับของพรอสแกลน
ดินส์จะเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับระดับของคาร์โบไฮเดรตที่จะไปทำให้กรดลดความรุนแรงลง
คำตอบท้ายสุดที่อาจเป็นไปได้ก็คือ ผนังของชั้นมิวโคซานั้นประกอบด้วยไขมันซึ่งไอออนของ
ไฮโดรเจน และไอออนของคลอไรด์ไม่สามารถผ่านชั้นไขมันนี้ได้ แต่เขาพบว่าสารพวกน้ำส้มสายชู แอสไพริน
น้ำส้มคั้น สารละลายสิ่งสกปรก (ที่มีอยู่ในยาสีฟันและผงซักฟอก) และสารอื่น ๆ จะไม่ถูกไอออไนซ์และสามารถ
ซึมผ่านผนังเซลล์ของกระเพาะเข้าไปได้ ดังนั้น จึงไม่ควรดื่มน้ำส้มคั้นหรือกินยาแอสไพรินขณะที่ท้องว่าง
และควรกินอาหารให้ตรงเวลา อย่างปล่อยให้ท้องว่างนาน ๆ เพื่อรักษาสุขภาพของกระเพาะเราเอง ความรัก คือ อะไร ??
เคยมีมั้ยคะ ที่คุณพบใครบางคนแล้วรู้สึกว่าเขาเป็นคนที่ใช่ที่สุด
เคยมีมั้ยคะที่คุณพบใครบางคนที่ทำให้คุณรู้สึกว่าคุณมีค่า
เคยมีมั้ยคะ ที่คุณพบใครบางคนที่ทำให้คุณรู้สึกว่าสามารถเฝ้ารักเขาได้ตลอดชีวิต
และสุดท้าย....ถ้าคุณพบคนเช่นนี้แล้วเขาไม่รักคุณ คุณจะทำยังไงกันล่ะ
จะร้องไห้ฟูมฟายหรือจะยิ้มรับกับเรื่องทั้งหมด ให้อภัยกับเขา และยอมรับความรู้สึกของตัวเองได้มั้ย
อยู่กับความรู้สึกนั้นเพียงลำพัง แม้จะไม่มีวันได้มันกลับมาก็ตามคุณทำเช่นนี้ได้รึเปล่า?
หลายคนบอกว่ารักช่างมีค่า
หลายคนบอกว่ารักไร้ราคา
บอกหน่อยซิคะรักนั้นมีคำจำกัดความว่าอะไร
รักบางคนบอกว่ามันคือการเสียสละ
เสียสละความหมายของคำนี้ยิ่งใหญ่แค่ไหนรู้กันบ้างมั้ย
เสียสละอาจหมายความว่าเมื่อคนที่คุณรักไม่ได้รักคุณเมื่อคนที่คุณรักเกิดไปรักผู้หญิงคนอื่น คุณก็ต้องปล่อยเขาไป
แน่นอนหมายความว่าให้ปล่อยไป แต่ปล่อยเขาไปตามที่เขาต้องการ
เคยมีมั้ยคะที่คุณพบใครบางคนที่ทำให้คุณรู้สึกว่าคุณมีค่า
เคยมีมั้ยคะ ที่คุณพบใครบางคนที่ทำให้คุณรู้สึกว่าสามารถเฝ้ารักเขาได้ตลอดชีวิต
และสุดท้าย....ถ้าคุณพบคนเช่นนี้แล้วเขาไม่รักคุณ คุณจะทำยังไงกันล่ะ
จะร้องไห้ฟูมฟายหรือจะยิ้มรับกับเรื่องทั้งหมด ให้อภัยกับเขา และยอมรับความรู้สึกของตัวเองได้มั้ย
อยู่กับความรู้สึกนั้นเพียงลำพัง แม้จะไม่มีวันได้มันกลับมาก็ตามคุณทำเช่นนี้ได้รึเปล่า?
หลายคนบอกว่ารักช่างมีค่า
หลายคนบอกว่ารักไร้ราคา
บอกหน่อยซิคะรักนั้นมีคำจำกัดความว่าอะไร
รักบางคนบอกว่ามันคือการเสียสละ
เสียสละความหมายของคำนี้ยิ่งใหญ่แค่ไหนรู้กันบ้างมั้ย
เสียสละอาจหมายความว่าเมื่อคนที่คุณรักไม่ได้รักคุณเมื่อคนที่คุณรักเกิดไปรักผู้หญิงคนอื่น คุณก็ต้องปล่อยเขาไป
แน่นอนหมายความว่าให้ปล่อยไป แต่ปล่อยเขาไปตามที่เขาต้องการ
หากยังรักเขาขอให้เก็บความรักนั้นอยู่ในใจ อย่าได้แสดงออกมาอีก
ท่องไว้เถิดว่าเขาไม่รักคุณอีกแล้ว
รัก บางคนอาจบอกว่ามันคือชีวิต
ชีวิตความหมายของคำนี้ยิ่งใหญ่แค่ไหนรู้กันบ้างมั้ย
ชีวิตอาจหมายความว่าคุณตายแทนเขาได้ เมื่อเกิดปัญหาขึ้นคุณจะยอมรับกรรมแทนเขาและอาจหมายถึงว่าคุณต้องตายเพื่อคนที่คุณรักรึเปล่าหากเขาไม่รักคุณ
คุณหมายความว่าคุณจะฆ่าตัวตายงั้นหรือหากว่าเขาเลิกรักคุณ คุณลืมคิดไปรึเปล่าว่า รักนั้นเป็นสิ่งที่ล้ำลึกแต่มันก็ไม่ใช่ชีวิตและมันก็ไม่ทำให้เราต้องเสียชีวิตของเราไป
เราไม่จำเป็นต้องฆ่าตัวตายหากคนที่เรารักไม่รักเราแล้ว
รัก บางคนบอกว่ามันคือการที่คนสองคนได้อยู่ด้วยกันการที่คนสองคนได้อยู่ด้วยกันความหมายของคำนี้ยิ่งใหญ่แค่ไหนรู้กันบ้างมั้ยท่องไว้เถิดว่าเขาไม่รักคุณอีกแล้ว
รัก บางคนอาจบอกว่ามันคือชีวิต
ชีวิตความหมายของคำนี้ยิ่งใหญ่แค่ไหนรู้กันบ้างมั้ย
ชีวิตอาจหมายความว่าคุณตายแทนเขาได้ เมื่อเกิดปัญหาขึ้นคุณจะยอมรับกรรมแทนเขาและอาจหมายถึงว่าคุณต้องตายเพื่อคนที่คุณรักรึเปล่าหากเขาไม่รักคุณ
คุณหมายความว่าคุณจะฆ่าตัวตายงั้นหรือหากว่าเขาเลิกรักคุณ คุณลืมคิดไปรึเปล่าว่า รักนั้นเป็นสิ่งที่ล้ำลึกแต่มันก็ไม่ใช่ชีวิตและมันก็ไม่ทำให้เราต้องเสียชีวิตของเราไป
เราไม่จำเป็นต้องฆ่าตัวตายหากคนที่เรารักไม่รักเราแล้ว
การที่คนสองคนได้อยู่ด้วยกันอาจหมายความว่าคุณได้กายเขา แต่ไม่ได้หัวใจเขา ใครจะรู้ได้
ภายนอกดูเหมือนรักแต่หากเขาไม่รักเล่า คุณจะทำอย่างไร จะแยกจากกันไปงั้นเหรอ หรือจะยอมอยู่ทนโท่ต่อไปคนที่ทนไม่ได้ก็บอกเขาไปตรงๆ เถิด ส่วนคนที่รักเขาก็ยอมปล่อยเขาไปเถิดความรักไม่ใช่การถือครอง
เราไม่จำเป็นต้องบังคับใจหากคนที่เรารักไม่รักเราแล้ว
เสียสละ ชีวิต และครอบครองคือความหมายโดยรวมของนิยามความรักที่กำเนิดขึ้นในโลก มันคือหัวใจแต่มันล้วนแต่ถูกตีความหมายไปแตกต่างกัน
ถามหน่อยเถิด สำหรับคุณ 3 ความหมายนี้คือความหมายไหน ตีความคิดของให้กว้างคุณอาจบอกว่าไม่ใช่อันไหนเลย
แต่ว่าคุณลองพิจารณาดูซิแล้วคุณจะเห็นว่าทุกอย่างอยู่ในสามกฎแห่งรักนี้
และความรักที่แท้จริงนั้นนอกจากจะต้องประกอบใน 3 อย่างนี้แล้วมันยังแปลออกมาได้ใจความว่า
ความรักเป็นอารมณ์ที่น่าอภิรมย์ของคน 2 คนที่มอบไว้ให้แก่กัน รักกัน ดูแลเอาใจใส่ซึ่งกันและกันรวมไปถึงสนองตอบความพอใจของอีกฝ่ายหนึ่ง
แต่ยามใดที่หัวใจที่เคยเกี่ยวพันหรือหยอกล้อกัน เกิดเจอหัวใจ หรืออะไรที่ทำให้สั่นคลอน หวั่นไหว จนจากไปแล้วล่ะก็
หัวใจที่มีรักแท้จะรู้ดีว่า.....ความรักคือการเฝ้ารอคอย
ไม่ใช่รอคอยให้เขาหันกลับมารักเรารอคอยให้หัวใจของผู้เป็นที่รักกลับมาอยู่ที่เราหรือทำให้คนที่แกล้งทำเป็นว่ารักเราพูดคำว่ารักออกมา
แต่เป็นการรอคอยที่จะเห็นคนที่เรารักนั้นมีความสุขประสบความสำเร็จในชีวิตของเขา
เราไม่จำเป็นต้องหนีหายถึงแม้เราจะรักฝ่ายเดียวถึงจะเสียใจเมื่อได้ยินคำที่เปล่งออกมาจากปากเขาให้เราเลิกกันหรือการกระทำของเขาที่ไม่เหมือนเดิม
จงยิ้มอย่างสดใส และเป็นตัวคุณยืนอยู่ข้างเขาในฐานะเพื่อนและพร้อมจะฟังทุกอย่างที่เขาพูดอย่างที่เคยเป็น
ให้เขาได้จดจำว่าเขาเคยรู้สึกดีๆ กับผู้หญิงคนนี้ให้เขาจำได้ถึงกิริยาอันน่าประทับใจของคุณ
จงเป็นสตรีที่มีความใจกว้างและมีอารมณ์ของผู้ที่เต็มไปด้วยความปรารถนาดี
เก็บรักไว้ในอกแต่อย่าได้ให้มันทำร้ายคุณ มองเขาแล้วเจ็บปวดแค่ไหน ก็ฝืนรับ และพูดดีๆกับเขา....นั่นแหละคือรักที่แท้จริง
มาดูกันว่าความรัก คือ อะไรบ้าง
1.. ความรัก คือ โชคอย่างหนึ่ง เพราะใช่ว่าทุกคนจะมีได้
2.. ความรัก เป็นได้ทั้งมือเเละผ้าพันเเผลเวลาเสียใจ
3.. ความรัก คือ สิ่งเติมเต็มให้ชิวิตไม่รู้สึกขาดอะไรไปอย่างนึง
4.. ความรัก คือ ความหวัง กำลังใจ เเละศรัทธาในกันเเละกัน
5.. ความรัก มีความลับอยู่อย่างหนึ่งว่า ไม่ได้รักในสิ่งที่ทำให้เรามีความสุขเเต่มีความสุขในสิ่งที่เรารักต่างหาก
6.. ความรัก คือ ศิลปะที่คนมีรักเท่านั้น ที่จะเข้าใจเเละเห็นคุณค่า
7.. ความรัก คือ โอกาสที่เราจะได้พิสูจน์จิตวิญญาณของตัวเอง
8.. ความรัก คือ สิ่งที่ทำให้คนฉลาดกลายเป็นคนโง่ ทำให้คนโง่กลายเป็นคนฉลาด
9.. ความรัก เมื่อสูญเสียไปเเล้ว ก็ยังดีกว่าไม่เคยรัก
10.. ความรัก มิได้เป็นการก้าวนำหรือก้าวตาม เเต่เป็นการก้าวไปพร้อม ๆ กัน
11.. ความรัก ทำให้คนเราเป็นอิสระ จากกฎเกณฑ์เดิม ๆ ของชีวิต
12.. ความรัก ทำให้จดจำคืนพิเศษคืนเดียวไปตลอดชีวิต เพราะทุกคืนที่ไร้ความรัก ก็มิอาจเทียบเท่าได้กับคืนนี้เพียงคืนเดียว
13.. ความรัก คือ การยอมเป็นน้ำเย็น ในขณะที่อีกฝ่ายร้อนเป็นไฟ
14.. ความรัก ที่มีมาเป็นปี ๆ ก็สามารถพังทลายลงได้เพียงเสี้ยววินาที
15.. ความรัก จะยาวนานหรือจะเเสนสั้นทุกอย่างขึ้นอยู่กับวิธีที่รัก
16.. ความรัก กว่าจะพบเจอได้นั้นเเสนยาก อย่าให้มันจบสิ้นเพียววันเดียว
17.. ความรัก สามารถเกิดขึ้นใหม่ได้ตลอดเวลา เหมือนถ่านไฟเก่าที่กำลังคุโชน
18.. ความรัก ต่อให้บอกกันทุกวันว่ารักก็ไม่มีคำว่ามากเกินไปหรอก เเต่... ความเกลียดสิบอกกันครั้งเดียวก็คงไม่อยากได้ยินอีกต่อไป
19.. ความรัก ถ้าไม่รักเเล้วต่อให้พูดมากเท่าใดก็ไม่สามารถรักกันได้
20.. ความรัก สามารถให้อภัยกันได้เสมอโดยไม่มีเงื่อยไขว่ากี่ครั้ง
21.. ความรัก รักได้เเต่อย่าหลงเพราะถ้าหลงเวลาเลิกเเล้วจะเจ็บปวด
22.. ความรัก อยู่เหนือคำทำนายเเละจะไม่มีวันเป็นไปตามคำพยากรณ์ได้
23.. ความรัก คือ สิ่งแปลกใหม่ที่จะทำให้มุมมองของคุณเปลี่ยนไปจากเดิม
24.. ความรัก ทำให้คุณอยู่นิ่งๆเงียบๆได้นานกว่าเดิม
25.. ความรัก คือ สิ่งที่ทำให้เกิดประกายไฟในหัวใจ
26.. ความรัก คือ การเริ่มคิดเป้าหมายเเห่งชีวิต
27.. ความรัก คือ การร่วมฝัน ร่วมปันใจเเละก้าวไปในชีวิต
28.. ความรัก คือ การอยู่เคียงข้างกันเสมอไม่ว่าอีกฝ่ายจะตกต่ำเพียงใด
29.. ความรัก ไม่ว่าจะเป็นเเบบไหนยังไงมันก็ต้องมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
30.. ความรัก เป็นนามธรรมที่มองไม่เห็นเเต่สัมผัสไได้ด้วยหัวใจ
31.. ความรัก ทำให้วันเลวร้ายไม่เป็นวันเลวร้ายที่สุด
32.. ความรัก ทำให้วันที่เเสนเศร้ากลายเป็นวันที่สุขที่สุดได้
33.. ความรัก เป็นสมบัติล้ำค่าที่ไม่สามารถจะหาได้ง่ายตามท้องถนน
34.. ความรัก ทำให้อะไรดีงามได้เสมอ
35.. ความรัก ที่รีบร้อนมักจะพบกับจุดสิ้นสุดได้รวดเร็วเสมอ
36.. ความรัก คือ สิ่งที่เเม้จะทำความเจ็บปวดให้ เเต่ก็ไม่มีใครที่กลัวหรือเกลียดชังความรัก
37.. ความรัก ไม่ได้จบลงเเค่การเเต่งงานหรือมี SEX เท่านั้น
38.. ความรัก คือสิ่งที่คุณจะพบได้เองโดยมิต้องเเสวงหา
39.. ความรักคือ สิ่งที่ยืนยาวกว่าชีวิตคนคนนึง
40.. ความรัก ส่วนมากมักจะเติบโตมาจากความเป็นเพื่อน เเละมักจะยืนยาวเสมอ
41.. ความรัก ในยามเเรกรัก คือช่วงเวลาของรักที่หวานหอมมากที่สุด
42.. ความรัก ครั้งเเรกเเละครั้งสุดท้ายมักจะเป็นรักในตนเอง
43.. ความรัก ทำให้คนกลายเป็นกวี
44.. ความรัก ไม่ใช่การมองตากัน เเต่เป็นการมองไปในทิศทางเดียวกัน
45.. ความรัก ไม่ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อใดก็ไม่มีคำว่าสายไป 46.. ความรัก คือสิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นในชีวิตคุณ
47.. ความรัก ทำให้ทุกอย่างสว่างเเละสดใส
48.. ความรัก คือการพึงพอใจในสิ่งที่รัก
49.. ความรัก จะมีคุณค่าได้ต่อเมื่อ คนที่รักต้องให้เกียรติ์ซึ้งกันเเละกัน
50.. ความรัก บางทีก็เป็นสะพานทอดไปสู่การเเต่งงาน
http://www.narak.commothtuk
สมุนไพรพื้นบ้าน
กระชาย สรรพคุณทางยา ใช้ขับลม ช่วยย่อย แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ จุกเสียดแน่ แก้อาการปวดมวนในท้อง ขับระดูขาว ขับปัสสาวะ บำรุงหัวใจ ในกระชายประกอบด้วย วิตามินเอ วิตามินบี 2 และ แคลเซียม
การนำไปใช้ นิยมใส่ในแกงที่ใช้เนื้อสัตว์กลิ่นคาว เช่น ปลา เนื้อวัว หรือใช้เป็นเครื่องปรุงเพิ่มความหอม เช่น ใส่ในผัดเผ็ด แกงป่า ทำเป็นน้ำยาของขนมจีนน้ำยา
กระเพรา
สรรพคุณทางยา ป้องกันโรคขาดเลือด ขับน้ำดี ช่วยย่อยไขมัน แก้จุกเสียด ในกะเพราประกอบด้วย เบต้า-แคโรทีน แคลเซียม ธาตุเหล็ก เส้นใยอาหาร และฟอสฟอรัส
การนำไปใช้ ใส่ต้มยำโป๊ะแตกเพื่อช่วยดับกลิ่นคาวจากเนื้อสัตว์ทะเล ใส่ผัดกะเพรา ทอดกรอบแนมกับทอดมัน หรือใส่ในส่วนผสมทอดมัน และแกงป่า
โหระพา สรรพคุณทางยา ช่วยย่อยอาหาร แก้อาการจุกเสียด แน่นท้อง ในโหระพาประกอบด้วย วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินซี แคลเซียม ธาตุเหล็ก เส้นใยอาหาร ฟอสฟอรัส และเบต้า-แคโรทีน
การนำไปใช้ นิยมใส่ในแกงกะทิ แกงเขียวหวาน แกงเผ็ด หรือใส่ในผัดอย่างหอยลายผัดน้ำพริกเผา นอกจากนี้ยังนิยมกินสดกับลาบ ก้อย น้ำตก และใส่เป็นผักต้มในอาหารอีสานอย่างแจ่วฮ้อน ส่วนอาหารเวียดนามนิยมกินสดแนมกับแหนมเนือง หรือใส่เป็นไส้ผักในเปาะเปี๊ยะเวียดนาม และก๋วยเตี๋ยวเวียดนามที่เรียกว่า เฝอ ในก๋วยเตี๋ยวไทยก็นิยมด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะก๋วยเตี๋ยวเรือ
หอมแดง
สรรพคุณทางยา ขับลม ขับปัสสาวะ ขับเสมหะ ขับประจำเดือน แก้ไข้ แก้หวัด ช่วยย่อยอาหาร เจริญอาหาร ในหอมแดงประกอบด้วย เซเลเนียมเป็นเกลือแร่ที่ทำหน้าที่เป็นตัวประสานการทำงานของเอนไซม์ระหว่างวิตามินดี เอ และซี
การนำไปใช้ ใส่ในยำ ลาบ พล่า เป็นส่วนผสมในน้ำพริกแกงต่างๆ หรือซอยบางๆ เจียวให้กรอบโรยหน้าขนมหม้อแกง และใส่ในน้ำปลาหวาน ราดไข่ลูกเขย หรือน้ำปลาหวานกินกับสะเดาลวกและปลากดุกย่าง
สะระแหน่
สรรพคุณทางยา น้ำคั้นจากต้นและใบดื่มแก้ปวดมวนในท้อง แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ขับลม หรือกินสดเพื่อดับกลิ่นปาก ขับเหงื่อ นอกจากนี้ยังช่วยฆ่าเชื้อ ระงับอาการเกร็งของกระเพาะอาหารและลำไส้ ในสะระแหน่ประกอบด้วย วิตามินเอ วิตามินบี 2 วิตามินซี แคลเซียม และ ธาตุเหล็ก
การนำไปใช้ มักกินเป็นผักสดโดยใส่ในยำ ลาบ พล่า น้ำตก
พริกไทยอ่อน
สรรพคุณทางยา ช่วยย่อยอาหาร ขับลม ขับเหงื่อ ลดความร้อนในร่างกาย เป็นยาอายุวัฒนะ
การนำไปใช้ มักใส่ในอาหารที่ใช้เนื้อสัตว์กลิ่นคาว ใส่คู่กับกระชาย เช่น แกงป่า ผัดเผ็ด และใส่เป็นเครื่องปรุงน้ำพริก เช่น น้ำพริกพริกไทยอ่อน
ข่า
สรรพคุณทางยา เป็นยาขับลมในลำไส้ แก้บิด ท้องอืด โรคหืด ขับเสมหะ และโรคหลอดลมอักเสบ ในข่าประกอบด้วย วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 แคลเซียม เส้นใยอาหาร และฟอสฟอรัส
การนำไปใช้ มักใส่ในอาหารประเภทต้ม เช่น ต้มยำ ต้มข่า ต้มแซบ หรือน้ำซุปก๋วยเตี๋ยว ทั้งก๋วยเตี๋ยวเป็ด ก๋วยเตี๋ยวเนื้อ ใช้เป็นเครื่องปรุงในการต้มพะโล้ขาหมู บ้างก็นำมาโขลกละเอียดใส่ในลาบ เช่น ลาบปลาดุก ลาบหมู คนจีนมักนำข่ามาโขลกละเอียดผสมเต้าเจี้ยวกินกับข้าวต้มปลาและที่ขาดไม่ได้คือเป็นส่วนผสมในน้ำพริกแกงต่างๆ
แมงลัก
สรรพคุณทางยา เป็นยาขับลมในลำไส้ แก้ปวดซางในเด็ก แก้ไอ บำรุงน้ำนม แก้โรคผิวหนัง เลือดออกตามไรฟัน และเป็นยาระบาย ในแมงลักประกอบด้วย วิตามินบี 2 วิตามินซี แคลเซียม ธาตุเหล็ก และเส้นใยอาหาร
การนำไปใช้ กินเป็นผักสดแนมกับขนมจีน ใส่ในแกงเลียง แกงอีสาน เช่น แกงเห็ด แกงหน่อไม้
ตะไคร้
สรรพคุณทางยา ใช้เป็นยาทาแก้ปวด เช่น โรครูมาติซัม อาการปวดตามบั้นเอว ช่วยย่อยอาหาร ขับปัสสาวะอย่างอ่อน ขับเหงื่อ แก้ตกขาว อาเจียน ลดความดันโลหิต ขับลม แก้ไข้ ปวดท้อง โรคทางเดินปัสสาวะ นิ่ว และอาการปวดเกร็ง ในตะไคร้ประกอบด้วย วิตามินเอ แคลเซียม ธาตุเหล็ก เส้นใยอาหาร และฟอสฟอรัส
การนำไปใช้ ใส่ในอาหารประเภทต้มยำ พล่า เช่น ต้มยำ ต้มแซบ หรือต้มกับน้ำให้มีความหอมเพื่อลวกอาหารทะเล เช่น หอยแครง หอยแมลงภู่ กุ้ง ปลาหมึก นอกจากนี้ยังซอยเฉียงเบาๆ แล้วทอดกรอบคลุกกับน้ำปรุงรสใช้โรยหน้าอาหารประเภทเนื้อปลาทอด เช่น ปลาทอดตะไคร้ ที่ขาดไม่ได้คือใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องปรุงน้ำพริกแกงต่างๆ
มะกรูด
สรรพคุณทางยา ผสมมะกรูดช่วยขับลม แก้จุกเสียด แก้ลมวิงเวียน น้ำมะกรูดแก้เลือดออกตามไรฟัน ในมะกรูดประกอบด้วย เบต้า-แคโรทีน วิตามินเอ วิตามินบี 2 วิตามินซี แคลเซียม และโปรตีน
การนำไปใช้ ใช้ได้ทั้งผลมะกรูดและใบมะกรูด การใช้ผสมมะกรูดจะปอกเอาแต่ผิวเปลือกใส่เป็นส่วนผสมในน้ำพริกแกงต่างๆ น้ำมะกรูดใช้ปรุงรสเปรี้ยวในแกงเทโพ แกงส้ม เพราะมีกลิ่นหอม รสเปรี้ยวอมหวานกลมกล่อม ถ้าผ่าครึ่งผลตามขวางทั้งเปลือกมักใส่ในแกงเทโพ น้ำพริกน้ำยาของขนมจีน ใบมะกรูด ใช้ใส่ต้มยำ ต้มข่า ต้มแซบ หรือซอยโรยหน้าห่อหมก ฉู่ฉี่ พะแนง และใส่เป็นส่วนผสมทอดมัน
กระเทียม
สรรพคุณทางยา มีฤทธิ์ลดความดันโลหิต ลดระดับไขมัน คอเลสเตอรอลและน้ำตาลในเลือด ในกระเทียมประกอบด้วย เซเลเนียม ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่ทำหน้าที่เป็นตัวประสานการทำงานของเอนไซม์ระหว่างวิตามินอี เอ และซี
การนำไปใช้ ใส่ในผัดต่างๆ เช่น ผัดผักบุ้ง ผัดกะเพรา หรือสับละเอียดแล้วเจียวให้เหลืองใส่ในข้าวต้ม แกงจืด นำไปผสมกากหมูเจียวใส่เป็นเครื่องแต่งกลิ่นในก๋วยเตี๋ยวต่างๆ หรือนำมาโขลกกับรากผักชีและพริกไทยเป็นเครื่องหมักอาหาร เช่น ผสมกับเนื้อหมูบนใส่ในแกงจืด หมักเนื้อไก่ที่จะย่าง และเป็นส่วนผสมในน้ำพริกแกงต่างๆ
ขิง
สรรพคุณทางยา ช่วยขับลม ขับน้ำดี ลดอาการบีบตัวของลำไส้ แก้อาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดศีรษะ ปวดท้อง ป้องกันการอักเสบ มีสารต้านการเกิดมะเร็ง ต้านการเกิดปฏิกิริยากับออกซิเจนและอาการจิตซึมเศร้า ในขิงประกอบด้วย แคลเซียม เป็นส่วนสำคัญในการสร้างกระดูกและฟัน ช่วยในการแข็งตัวของเลือด
การนำไปใช้ ขิงมีทั้งขิงอ่อน ขิงแก่ การนำไปใช้ก็ต่างกัน ขิงแก่นิยมใส่ในอาหารเพื่อดับกลิ่นคาวและเพิ่มความหอม เช่น โขลกรวมกับน้ำพริกแกงแล้วนำไปผัดพริกขิงหมูกับถั่วฝักยาว หรือใส่เป็นน้ำต้มขิงกินกับเต้าฮวยและใส่ในน้ำต้มน้ำตาล หรือซอยบางๆ ใส่ในปูอบวุ้นเส้น ส่วน ขิงอ่อน นิยมกินเป็นผัก เช่น ซอยใส่ในไก่ผัดพริก โรยหน้าโจ๊ก ต้มส้มปลา กินแนมกับไส้กรอกอีสาน ถ้ามีมากก็นำมาดองเป็นขิงดองสามรส กินกับเป็ดย่าง ไข่เยี่ยวม้า
พริกชี้ฟ้า
สรรพคุณทางยา ป้องกันหลอดลมอักเสบ แผลในกระเพาะอาหาร ทำลายเชื้อแบคทีเรีย ลดก๊าซที่เกิดจากการย่อยอาหาร ลดการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อท้องที่เกิดจากอาการท้องอืดเฟ้อ และป้องกันหวัด ในพริกชี้ฟ้า ประกอบด้วย โปรตีน เส้นใยอาหาร วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินซี แคลเซียม และธาตุเหล็ก
ที่มา http://www.baanmaha.com
การนำไปใช้ นิยมใส่ในแกงที่ใช้เนื้อสัตว์กลิ่นคาว เช่น ปลา เนื้อวัว หรือใช้เป็นเครื่องปรุงเพิ่มความหอม เช่น ใส่ในผัดเผ็ด แกงป่า ทำเป็นน้ำยาของขนมจีนน้ำยา
กระเพรา
สรรพคุณทางยา ป้องกันโรคขาดเลือด ขับน้ำดี ช่วยย่อยไขมัน แก้จุกเสียด ในกะเพราประกอบด้วย เบต้า-แคโรทีน แคลเซียม ธาตุเหล็ก เส้นใยอาหาร และฟอสฟอรัส
การนำไปใช้ ใส่ต้มยำโป๊ะแตกเพื่อช่วยดับกลิ่นคาวจากเนื้อสัตว์ทะเล ใส่ผัดกะเพรา ทอดกรอบแนมกับทอดมัน หรือใส่ในส่วนผสมทอดมัน และแกงป่า
โหระพา สรรพคุณทางยา ช่วยย่อยอาหาร แก้อาการจุกเสียด แน่นท้อง ในโหระพาประกอบด้วย วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินซี แคลเซียม ธาตุเหล็ก เส้นใยอาหาร ฟอสฟอรัส และเบต้า-แคโรทีน
การนำไปใช้ นิยมใส่ในแกงกะทิ แกงเขียวหวาน แกงเผ็ด หรือใส่ในผัดอย่างหอยลายผัดน้ำพริกเผา นอกจากนี้ยังนิยมกินสดกับลาบ ก้อย น้ำตก และใส่เป็นผักต้มในอาหารอีสานอย่างแจ่วฮ้อน ส่วนอาหารเวียดนามนิยมกินสดแนมกับแหนมเนือง หรือใส่เป็นไส้ผักในเปาะเปี๊ยะเวียดนาม และก๋วยเตี๋ยวเวียดนามที่เรียกว่า เฝอ ในก๋วยเตี๋ยวไทยก็นิยมด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะก๋วยเตี๋ยวเรือ
หอมแดง
สรรพคุณทางยา ขับลม ขับปัสสาวะ ขับเสมหะ ขับประจำเดือน แก้ไข้ แก้หวัด ช่วยย่อยอาหาร เจริญอาหาร ในหอมแดงประกอบด้วย เซเลเนียมเป็นเกลือแร่ที่ทำหน้าที่เป็นตัวประสานการทำงานของเอนไซม์ระหว่างวิตามินดี เอ และซี
การนำไปใช้ ใส่ในยำ ลาบ พล่า เป็นส่วนผสมในน้ำพริกแกงต่างๆ หรือซอยบางๆ เจียวให้กรอบโรยหน้าขนมหม้อแกง และใส่ในน้ำปลาหวาน ราดไข่ลูกเขย หรือน้ำปลาหวานกินกับสะเดาลวกและปลากดุกย่าง
สะระแหน่
สรรพคุณทางยา น้ำคั้นจากต้นและใบดื่มแก้ปวดมวนในท้อง แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ขับลม หรือกินสดเพื่อดับกลิ่นปาก ขับเหงื่อ นอกจากนี้ยังช่วยฆ่าเชื้อ ระงับอาการเกร็งของกระเพาะอาหารและลำไส้ ในสะระแหน่ประกอบด้วย วิตามินเอ วิตามินบี 2 วิตามินซี แคลเซียม และ ธาตุเหล็ก
การนำไปใช้ มักกินเป็นผักสดโดยใส่ในยำ ลาบ พล่า น้ำตก
พริกไทยอ่อน
สรรพคุณทางยา ช่วยย่อยอาหาร ขับลม ขับเหงื่อ ลดความร้อนในร่างกาย เป็นยาอายุวัฒนะ
การนำไปใช้ มักใส่ในอาหารที่ใช้เนื้อสัตว์กลิ่นคาว ใส่คู่กับกระชาย เช่น แกงป่า ผัดเผ็ด และใส่เป็นเครื่องปรุงน้ำพริก เช่น น้ำพริกพริกไทยอ่อน
ข่า
สรรพคุณทางยา เป็นยาขับลมในลำไส้ แก้บิด ท้องอืด โรคหืด ขับเสมหะ และโรคหลอดลมอักเสบ ในข่าประกอบด้วย วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 แคลเซียม เส้นใยอาหาร และฟอสฟอรัส
การนำไปใช้ มักใส่ในอาหารประเภทต้ม เช่น ต้มยำ ต้มข่า ต้มแซบ หรือน้ำซุปก๋วยเตี๋ยว ทั้งก๋วยเตี๋ยวเป็ด ก๋วยเตี๋ยวเนื้อ ใช้เป็นเครื่องปรุงในการต้มพะโล้ขาหมู บ้างก็นำมาโขลกละเอียดใส่ในลาบ เช่น ลาบปลาดุก ลาบหมู คนจีนมักนำข่ามาโขลกละเอียดผสมเต้าเจี้ยวกินกับข้าวต้มปลาและที่ขาดไม่ได้คือเป็นส่วนผสมในน้ำพริกแกงต่างๆ
แมงลัก
สรรพคุณทางยา เป็นยาขับลมในลำไส้ แก้ปวดซางในเด็ก แก้ไอ บำรุงน้ำนม แก้โรคผิวหนัง เลือดออกตามไรฟัน และเป็นยาระบาย ในแมงลักประกอบด้วย วิตามินบี 2 วิตามินซี แคลเซียม ธาตุเหล็ก และเส้นใยอาหาร
การนำไปใช้ กินเป็นผักสดแนมกับขนมจีน ใส่ในแกงเลียง แกงอีสาน เช่น แกงเห็ด แกงหน่อไม้
ตะไคร้
สรรพคุณทางยา ใช้เป็นยาทาแก้ปวด เช่น โรครูมาติซัม อาการปวดตามบั้นเอว ช่วยย่อยอาหาร ขับปัสสาวะอย่างอ่อน ขับเหงื่อ แก้ตกขาว อาเจียน ลดความดันโลหิต ขับลม แก้ไข้ ปวดท้อง โรคทางเดินปัสสาวะ นิ่ว และอาการปวดเกร็ง ในตะไคร้ประกอบด้วย วิตามินเอ แคลเซียม ธาตุเหล็ก เส้นใยอาหาร และฟอสฟอรัส
การนำไปใช้ ใส่ในอาหารประเภทต้มยำ พล่า เช่น ต้มยำ ต้มแซบ หรือต้มกับน้ำให้มีความหอมเพื่อลวกอาหารทะเล เช่น หอยแครง หอยแมลงภู่ กุ้ง ปลาหมึก นอกจากนี้ยังซอยเฉียงเบาๆ แล้วทอดกรอบคลุกกับน้ำปรุงรสใช้โรยหน้าอาหารประเภทเนื้อปลาทอด เช่น ปลาทอดตะไคร้ ที่ขาดไม่ได้คือใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องปรุงน้ำพริกแกงต่างๆ
มะกรูด
สรรพคุณทางยา ผสมมะกรูดช่วยขับลม แก้จุกเสียด แก้ลมวิงเวียน น้ำมะกรูดแก้เลือดออกตามไรฟัน ในมะกรูดประกอบด้วย เบต้า-แคโรทีน วิตามินเอ วิตามินบี 2 วิตามินซี แคลเซียม และโปรตีน
การนำไปใช้ ใช้ได้ทั้งผลมะกรูดและใบมะกรูด การใช้ผสมมะกรูดจะปอกเอาแต่ผิวเปลือกใส่เป็นส่วนผสมในน้ำพริกแกงต่างๆ น้ำมะกรูดใช้ปรุงรสเปรี้ยวในแกงเทโพ แกงส้ม เพราะมีกลิ่นหอม รสเปรี้ยวอมหวานกลมกล่อม ถ้าผ่าครึ่งผลตามขวางทั้งเปลือกมักใส่ในแกงเทโพ น้ำพริกน้ำยาของขนมจีน ใบมะกรูด ใช้ใส่ต้มยำ ต้มข่า ต้มแซบ หรือซอยโรยหน้าห่อหมก ฉู่ฉี่ พะแนง และใส่เป็นส่วนผสมทอดมัน
กระเทียม
สรรพคุณทางยา มีฤทธิ์ลดความดันโลหิต ลดระดับไขมัน คอเลสเตอรอลและน้ำตาลในเลือด ในกระเทียมประกอบด้วย เซเลเนียม ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่ทำหน้าที่เป็นตัวประสานการทำงานของเอนไซม์ระหว่างวิตามินอี เอ และซี
การนำไปใช้ ใส่ในผัดต่างๆ เช่น ผัดผักบุ้ง ผัดกะเพรา หรือสับละเอียดแล้วเจียวให้เหลืองใส่ในข้าวต้ม แกงจืด นำไปผสมกากหมูเจียวใส่เป็นเครื่องแต่งกลิ่นในก๋วยเตี๋ยวต่างๆ หรือนำมาโขลกกับรากผักชีและพริกไทยเป็นเครื่องหมักอาหาร เช่น ผสมกับเนื้อหมูบนใส่ในแกงจืด หมักเนื้อไก่ที่จะย่าง และเป็นส่วนผสมในน้ำพริกแกงต่างๆ
ขิง
สรรพคุณทางยา ช่วยขับลม ขับน้ำดี ลดอาการบีบตัวของลำไส้ แก้อาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดศีรษะ ปวดท้อง ป้องกันการอักเสบ มีสารต้านการเกิดมะเร็ง ต้านการเกิดปฏิกิริยากับออกซิเจนและอาการจิตซึมเศร้า ในขิงประกอบด้วย แคลเซียม เป็นส่วนสำคัญในการสร้างกระดูกและฟัน ช่วยในการแข็งตัวของเลือด
การนำไปใช้ ขิงมีทั้งขิงอ่อน ขิงแก่ การนำไปใช้ก็ต่างกัน ขิงแก่นิยมใส่ในอาหารเพื่อดับกลิ่นคาวและเพิ่มความหอม เช่น โขลกรวมกับน้ำพริกแกงแล้วนำไปผัดพริกขิงหมูกับถั่วฝักยาว หรือใส่เป็นน้ำต้มขิงกินกับเต้าฮวยและใส่ในน้ำต้มน้ำตาล หรือซอยบางๆ ใส่ในปูอบวุ้นเส้น ส่วน ขิงอ่อน นิยมกินเป็นผัก เช่น ซอยใส่ในไก่ผัดพริก โรยหน้าโจ๊ก ต้มส้มปลา กินแนมกับไส้กรอกอีสาน ถ้ามีมากก็นำมาดองเป็นขิงดองสามรส กินกับเป็ดย่าง ไข่เยี่ยวม้า
พริกชี้ฟ้า
สรรพคุณทางยา ป้องกันหลอดลมอักเสบ แผลในกระเพาะอาหาร ทำลายเชื้อแบคทีเรีย ลดก๊าซที่เกิดจากการย่อยอาหาร ลดการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อท้องที่เกิดจากอาการท้องอืดเฟ้อ และป้องกันหวัด ในพริกชี้ฟ้า ประกอบด้วย โปรตีน เส้นใยอาหาร วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินซี แคลเซียม และธาตุเหล็ก
ที่มา http://www.baanmaha.com
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)

